วันอาทิตย์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

หน่วยการเรียนรู้ที่2 เรื่องสุภาษิตคำพังเพย


สุภาษิตคำพังเพย

คำสุภาษิต คือคำในภาษาไทยที่ใช้ในการสื่อสารเชิงเปรียบเทียบอุปมาอุปมัย มักมีความหมายในการตักเตือนสั่งสอนในทางบวก มีความหมายที่ดี คำสุภาษิตมักจะแต่งให้คล้องจองฟังแล้วระรื่นชื่นหู เพื่อให้จดจำได้ง่ายและเกิดการใช้งานได้บ่อย หลายครั้งที่เราได้พบกับคำสุภาษิตจากสื่อต่างๆไม่ว่าจะเป็นเฟซบุ๊ค หรือทวิตเตอร์ เราอาจจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจในความหมายของมันก็ได้ ในวันนี้  ได้รวบรวมความหมายของคำสุภาษิต คำพังเพย ไทยๆ มาไว้ที่นี่ครบๆแล้วครับ
ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่


คำสุภาษิต

คำสุภาษิตมักจะมาในรูปแบบของสำนวนโวหาร หรือคำพังเพย เมื่อฟังแล้วบางครั้งมักจะไม่ค่อยได้ความหมายในตัวของมันเองเท่าไหร่นัก แต่ต้องนำไปประกอบกับเหตุการณ์หรือตัวบุคคล จึงจะได้ความหมายที่เป็นคติเตือนใจ คำสุภาษิตมีอยู่ด้วยกันสองประเภทคือ
  1. คำสุภาษิตที่ฟังแล้วเข้าใจได้ทันที โดยที่ไม่ต้องแปลความหมายให้เข้ากับสถานการณ์นั้นๆ เช่น ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว
  2. คำสุภาษิตที่ฟังแล้วไม่เข้าใจในทันที ต้องแปลความหมายของมันให้เข้ากับสถานการณ์ต่างๆก่อนถึงจะทราบถึงความหมายและแนวสอนของคำสุภาษิตนั้นๆ เช่น ผีบ้านไม่ดี ผีป่าก็พลอย

ขี่ช้างจับตั๊กแตน

นอกจากนี้ยังมีคำใกล้เคียงกับคำสุภาษิตอยู่อีกคือ

สำนวน

คือคำที่พูดออกมาในลักษณะเปรียบเทียบ และจะฟังไม่เข้าในในทันทีต้องแปลความหมายก่อน เช่นเดียวกับรูปแบบที่สองของคำสุภาษิต

คำพังเพย

คือคำพูดที่ออกมาโดยที่ไม่ได้ตั้งใจว่าจะสั่งสอนอะไร ออกแนวพูดเปรียบเทียบว่าสถานการณ์นี้เป็นอย่างไรเสียมากกว่า แต่คำพังเพยส่วนใหญ่ก็มักจะแฝงคติเตือนใจที่สามารถนำไปปฏิบัติใช้ได้

คำคม

คือถ้อยคำสำนวนที่ใช้ในปัจจุบันทันด่วน ส่วนมากเป็นถ้อยคำที่หลักแหลม ฟังแล้วต้องยกนิ้วให้ ผู้ที่คิดคำคมต่างๆออกมามักจะเป็นผู้ที่ฉลาดปราดเปรื่อง นักปราชญ์ เช่นคำคมของขงเบ้ง เป็นต้น

คำขวัญ

คือคำที่แต่งมาเพื่ออธิบายพรรณนาให้เข้าใจเกี่ยวกับเหตุการณ์นั้นๆ หรือวันสำคัญต่างๆ เช่นคำขวัญกรุงเทพมหานคร หรือคำขวัญวันเด็ก เป็นต้น

ช้างตายทั้งตัวเอาใบบัวมาปิด

คำสุภาษิตไทยพร้อมความหมาย

หมวด ก.

สำนวน สุภาษิตไทย

ความหมาย

กงเกวียนกำเกวียนทำอะไรกับใครไว้ ย่อมได้รับผลกรรมนั้น
กบในกะลาครอบมีความรู้หรือประสบการณ์น้อยมักนึกว่าตัวรู้มาก
กรวดน้ำคว่ำขัน (คว่ำกะลา)ตัดขาดไม่เกี่ยวข้องด้วย ชาตินี้อย่าได้จอยกัน
กระเชอก้นรั่วใช้จ่ายเงินสุรุ่ยสุร่าย ไม่ประหยัด ไม่เก็บหอมรอมริบ
กระดี่ได้น้ำดีอกดีใจจนเกินงาม เนื้อตัวสั่น ทำแว้ดๆ
กระต่ายขาเดียวยืนกรานไม่ยอมรับผิด ฉันไม่ได้ทำ ฉันเปล่านะ
กระต่ายตื่นตูมตื่นตกใจง่าย ยังไม่ทันหาสาเหตุให้ชัดเจนเสียก่อนแล้วโวยวาย
กระต่ายหมายจันทร์ผู้ชายที่หมายปองหญิงสูงศักดิ์ ฐานะดีกว่าตัวเอง
กระโถนท้องพระโรงบุคคลที่ถูกใคร ๆ รุมใช้อยู่คนเดียว
กลับเนื้อกลับตัวเลิกทำความชั่ว แล้วมาประพฤติตัวเป็นคนดี
กลับหน้ามือเป็นหลังมือเปลี่ยนแปลงจากเดิมไปอย่างตรงกันข้าม
กล้านักมักบิ่นกล้าเกินไปมักจะเกิดอันตรายได้
กว่าถั่วจะสุกงาก็ไหม้ทำงาน 2 อย่าง แบบลังเลใจ แก้ปัญหาไม่ทันท่วงทีต้องเสียงานไป 1 อย่าง
ก่อร่างสร้างตัวทำงานหาเงินเป็นกอบเป็นกำ ตั้งเนื้อตั้งตัวได้เป็นหลักฐาน
กาคาบพริกคนผิวดำที่ชอบแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าสีแดง ๆ หรือสีแจ๋นๆ
กำขี้ดีกว่ากำตดได้มาบ้างดีกว่าไม่ได้อะไรเลย
กำแพงมีหูประตูมีช่อง / กำแพงมีหูประตูมีตาจะพูดอะไรต้องระวัง อาจมีคนรู้ได้
กิ่งทองใบหยกชายหนุ่ม หญิงสาวเหมาะสมกันดีที่จะแต่งงาน
กินที่ลับไขที่แจ้งเอาความลับหรือเอาเรื่องที่ทำกันที่ลับมาเปิดเผยให้คนเขารู้
กินน้ำใต้ศอกเมียน้อยต้องยอมรับของเหลือเดนจากเมียหลวงตกเป็นรองด้านศักดิ์ศรี
กินน้ำพริกถ้วยเก่าอยู่กับเมียคนเดิม
กินน้ำไม่เผื่อแล้งมีเงิน มีของก็ใช้ถลุงเสียจนหมด ไม่ห่วงอนาคตข้างหน้า
กินน้ำเห็นปลิงตะขิดตะขวงใจกับคนชั่วที่รู้พูดหรือคบด้วยโดยรู้ว่าเขาไม่ดี
กินบนเรือนขี้บนหลังคาคนเนรคุณอาศัยบ้านเขาหรือเขาให้ความช่วยเหลือแต่กลับทำความบัดซบให้
เก็บเบี้ยใต้ถุนร้านเก็บเล็กผสมน้อย เก็บส่วนเล็กส่วนน้อยจนเป็นรูปเป็นร่างเป็นกอบเป็นกำ
เกลือจิ้มเกลือแก้แค้นให้สาสมกับที่ทำไว้ ไม่ยอมเสียเปรียบกัน
เกลือเป็นหนอนคนภายในกลุ่มของเรา คิดทรยศไปบอกความลับฝ่ายตรงข้าม
เกี่ยวแฝกมุงป่าทำอะไรเกินกำลังความสามารถของตัว
แกว่งเท้าหาเสี้ยนอยู่ดีไม่ว่าดี ไปหาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัว
ไก่แก่แม่ปลาช่อนหญิงมีอายุมาก มีมารยามาก เล่ห์เหลี่ยมมาก จัดจ้าน
ไกลปืนเที่ยงไม่ค่อยรู้ความเป็นไปของโลก เพราะอยู่ห่างไกลความเจริญ
ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่ต่างฝ่ายต่างรู้ความลับของกันและกัน

หมวด ข.-จ.

สำนวน สุภาษิตไทยความหมาย
ขนมผสมน้ำยาทั้งคู่ดีเลวพอกัน จะบอกว่าใครดีกว่าใครไม่ได้
ข่มเขาโคขืนให้กินหญ้าบังคับขืนใจผู้อื่นให้ทำตามที่ใจเราปรารถนา
ขว้างงูไม่พ้นคอทำอะไรก็ตาม ผลร้ายย้อนกลับมาสู่ตัวเอง
ขวานฝ่าซากพูดจาตรง ๆ ไม่เกรงใจใครเลย
ขายผ้าเอาหน้ารอดยอมเสียสละของสำคัญของตนเพื่อรักษาชื่อเสียงตนเอาไว้
ขิงก็รา ข่าก็แรงต่างคนต่างอารมณ์ร้อนพอกัน ต่างคนต่างไม่ยอมกัน
ขี่ช้างจับตั๊กแตนลงทุนมาก แต่กลับได้ผลนิดหน่อย
ขุดด้วยปาก ถากด้วยตาเหยียดหยามทั้งวาจา และสายตามองแบบดูถูก
ขุดบ่อล่อปลาทำกลอุบายให้เขาเชื่อเพื่อหวังผลประโยชน์
เข็นครกขึ้นภูเขาทำงานที่ยากลำบากต้องใช้ความเพียรพยายามและอดทนมาก
เข้าด้ายเข้าเข็มกำลังคับขันเวลากำลังสำคัญ ถ้าพลาดหรือมีอะไรมาขัดจังหวะจะเสียการ
เข้าตามตรอก ออกตามประตูทำตามขนบธรรมเนียมประเพณี ส่วนใหญ่หมายถึงการแต่งงาน
เข้าเถื่อนอย่าลืมพร้าให้รอบคอบ อย่าประมาท
เข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตามทำตัวให้เหมาะกับสภาพแวดล้อมที่คนในสังคมนั้นเขาทำกัน
เขียนเสือให้วัวกลัวหลอก ขู่ ให้ฝ่ายตรงข้ามเสียขวัญหรือเกรงขาม
คนในข้อ งอในกระดูกกมลสันดาน เกิดมาก็ชอบคดโกง
คบคนให้ดูหน้า ซื้อผ้าให้ดูเนื้อจะคบเพื่อนต้องพิจารณาให้ดีเสียก่อน
คลื่นกระทบฝั่งเรื่องราวเกิดขึ้นแล้วก็เงียบหายไปในที่สุด
คลุมถุงชนการแต่งงานที่เจ้าบ่าวเจ้าสาว ต่างไม่ได้รักกันมาก่อน โดนผู้ใหญ่จับแต่ง
ความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอดมีความรู้มากแต่ไม่รู้จักใช้ความรู้ให้เป็นประโยชน์
คอหอยกับลูกกระเดือกเข้ากันได้ดีแยกกันไม่ออกสนิทสนมกัน
คางคกขึ้นวอคนจนพอได้ดีขึ้นมา ก็ลืมตัว
คาหนังคาเขาจับได้ในขณะที่กำลังทำผิดหรือพร้อมกับของกลาง
โคแก่ชอบกินหญ้าอ่อนชายแก่ชอบหญิงเอ๊าะๆ เป็นเมีย
ฆ้องปากแตกเก็บความลับไม่อยู่ ชอบนำความลับของคนอื่นไปโพนทะนา
ฆ่าควายอย่าเสียดายพริกจะทำการใหญ่ ไม่ควรตะหนี่ หรือเค็มนะจ๊ะ
งมเข็มในมหาสมุทรค้นหาสิ่งที่ยากจะค้นหาได้
เงยหน้าอ้าปาก / ลืมตาอ้าปากมีฐานะดีขึ้นกว่าเดิม
จับงูข้างหางทำสิ่งที่เสี่ยงต่ออันตราย
จับแพะชนแกะทำอย่างขอไปที ไม่ได้อย่างนี้ก็เอาอย่างนั้นเพื่อให้เสร็จๆ ไป
จับเสือมือเปล่าหาผลประโยชน์โดยตัวเองไม่ลงทุน
จุดไต้ตำตอพูดหรือทำบังเอิญไปโดนเจ้าของเรื่องโดยผู้พูดนั้นไม่รู้ตัว


น้ำมาปลากินมด น้ำลดมดกินปลา

หมวด ช.-ด.

สำนวน สุภาษิตไทยความหมาย
ชักใบให้เรือเสียพูดหรือขวางให้การสนทนาออกนอกเรื่อง
ชักแม่น้ำทั้งห้าพูดจาหว่านล้อม ยกยอคนอื่นว่าเขาดีเลิศ เพื่อเราจะได้สมปรารถนา
ชักหน้าไม่ถึงหลังมีรายได้ไม่พอกับรายจ่าย
ชั่วช่างชี ดีช่างสงฆ์พระสงฆ์จะประพฤติตัวอย่างไรก็เรื่องของท่าน ท่านก็ได้รับผลกรรมเอง
ช้าๆได้พร้าสองเล่มงามค่อยๆคิด ค่อยๆทำ พิจารณาให้ดี รอบคอบ เดี๋ยวจะสัมฤทธิ์ผลเอง
ช้างตายทั้งตัว เอาใบบัวมาปิดความผิดร้ายแรงที่คนรู้ทั่วกันแล้ว จะปิดอย่างไรก็ไม่มิด
ผัวหาบ เมียคอนช่วยกันทำมาหากินทั้งผัวและเมีย
ชี้นกบนปลายไม้หวังในสิ่งที่อยู่ไกลตัว มันเป็นไปได้ยาก
ชุบมือเปิบฉวยเอาผลประโยชน์ของผู้อื่น โดยตัวเองไมได้ลงทุนลงแรง
ซื่อเหมือนแมวนอนหวดทำเป็นซื่อ ๆ
ซื้อควายหน้านา ซื้อผ้าหน้าตรุษ (หน้าหนาว)ซื้อของไม่คำนึงถึงกาลเวลาย่อมได้ของแพง (Demand สูง Supply ต่ำ)
ดีดลูกคิดรางแก้วคิดถึงผลได้ ผลดีอย่างเดียว
ได้ทีขี่แพะไล่ไปซ้ำเติม เยาะเย้ยเมื่อคนอื่นเพลี่ยงพล้ำ

หมวด ต.

สำนวน สุภาษิตไทยความหมาย
ตกกะไดพลอยโจนจำเป็นต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อไม่มีทางเลี่ยง
ตักน้ำรดหัวตอแนะนำเท่าไร พร่ำสอนเท่าไร ก็ไม่ได้ผล
ตักบาตรอย่าถามพระจะให้อะไรแก่คนอื่น อย่าไปถามเขาว่าเอาไหม อยากได้ไหม
ตัดหางปล่อยวัดตัดขาดไม่เกี่ยวข้อง
ตาบอดคลำช้างคนที่รู้อะไรด้านเดียว แล้วเข้าใจแต่อย่างนั้น สิ่งนั้น
ตาบอดได้แว่นคนที่มีสิ่งที่ตัวเองใช้ประโยชน์ไม่ได้ มักใช้คู่กับ หัวล้านได้หวี
ตาลยอดด้วนคนที่ไม่มีหนทางทำมาหากินคนไม่มีบุตรสืบสกุล
ตำข้าวสารกรอกหม้อทำพอให้เสร็จไปแค่ครั้งหนึ่ง ๆ พอพรุ่งนี้จะเอา ค่อยทำใหม่
ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำเสียทรัพย์โดยไม่ได้รับประโยชน์อะไร
ติเรือทั้งโกลนติพล่อย ๆ ตำหนิในสิ่งที่เขายังทำไม่เสร็จ
ตีงูให้กากินทำสิ่งที่ตนควรจะได้รับประโยชน์ แต่กลับไม่ได้ ตกอยู่กับผู้อื่นซะเนี่ย
ตีงูให้หลังหักทำสิ่งใดแก่ศัตรูไม่เด็ดขาดจริงจัง ย่อมได้รับผลร้ายภายหลัง
ตีตนก่อนไข้กังวลทุกข์ร้อนก่อนในเรื่องที่ยังไม่เกิดขึ้น
ตีนถีบปากกัด / ปากกัดตีนถีบมานะพยายามทำงานทุกอย่างเพื่อปากท้อง โดยไม่ห่วงคำนึงถึงความลำบาก
ตีปลาหน้าไซพูดหรือทำให้กิจการของผู้อื่นซึ่งกำลังดำเนินไปด้วยดีกลับเสีย
ตีวัวกระทบคราดโกรธคนหนึ่งแต่ทำอะไรเขาไม่ได้ก็เลยรังควานอีกคนที่ตนเองสามารถทำได้
ตื่นแต่ดึก สึกแต่หนุ่มเร่งรัดเกินไปในเวลาที่ยังไม่เหมาะสม
เตี้ยอุ้มค่อมคนจนแต่รับเลี้ยงดูคนที่ต่ำต้อยจนเหมือนกัน

หมวด ถ.-ป.

สำนวน สุภาษิตไทยความหมาย
ถอดเขี้ยว ถอดเล็บเลิกแสดงฤทธิ์เดชอำนาจอีก
ถอยหลังเข้าคลองหวนกลับไปหาแบบเดิม ๆ ล้าสมัย
ถี่ลอดตาช้าง ห่างลอดตาเล็นดูเหมือนจะรอบคอบถี่ถ้วน แต่รอบคอบไม่จริง
ทำนาออมกล้า ทำปลาออมเกลือทำการสิ่งใด ถ้ากลัวหมดเปลืองย่อมไม่ได้ผล
นกสองหัวทำตัวเข้ากับทั้ง 2 ฝ่ายที่เขาไม่ถูกกัน โดยหวังประโยชน์เพื่อตน
นายว่าขี้ข้าพลอยพลอยพูดผสมโรงติเตียนผู้อื่นตามเจ้านาย
น้ำขึ้นให้รีบตักมีโอกาสดีก็ควรรีบทำ
น้ำซึมบ่อทรายรายได้มาเรื่อย ๆ
น้ำท่วมทุ่ง ผักบุ้งโหรงเหรงพูดมากได้สาระน้อย
น้ำท่วมปากพูดไม่ได้ เกรงจะมีภัยแก่ตนหรือผู้อื่น
น้ำลดตอผุดเมื่อหมดอำนาจ ความชั่วที่ทำไว้ก็ปรากฎ
บนข้าวผี ตีข้าวพระขอร้องให้เทวดาผีสางนางไม้ช่วยโดยการบน
บอกหนังสือสังฆราชสอนสิ่งที่เขารู้ดีอยู่แล้ว
เบี้ยบ้ายรายทางเงินที่ต้องใช้จ่าย หรือเสี่ยไปเรื่อย ๆ ในขณะทำธุรกิจให้สำเร็จ
ปลาติดร่างแห (ติดหลังแห)คนที่พลอยรับเคราะห์กรรมกับคนอื่น ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้มีส่วนพัวพัน
ปากปราศัย ใจเชือดคอพูดดีแต่ใจคิดร้าย
ปากว่าตาขยิบพูดอย่างหนึ่งแต่ทำอีกอย่างหนึ่ง ปากกับใจไม่ตรงกัน
ปากหวานก้นเปรี้ยวพูดจาอ่อนหวาน แต่ไม่จริงใจ
ปิดทองหลังพระทำดีแต่ไม่มีใครยกย่อง เพราะมองไม่เห็นคุณค่า
ไปไหนมา สามวาสองศอกถามอย่างหนึ่ง ตอบไปอีกอย่างหนึ่ง

หมวด ผ.-ย.

สำนวน สุภาษิตไทยความหมาย
ผักชีโรยหน้าทำความดีเพียงผิวเผิน
ผีซ้ำด้ำพลอยถูกซ้ำเติม เมื่อพลาดพลั้งหรือเมื่อคราวเคราะห์ร้าย
ผีถึงป่าช้าต้องยอมทำ เพราะจำใจหรือไม่มีทางเลือก
ฝนตกไม่ทั่วฟ้าให้หรือแจกจ่ายอะไรไม่ทั่วถึงกัน
ฝนทั่งให้เป็นเข็มเพียรพยายามสุดความสามารถจนสำเร็จ
พบไม้งามเมื่อขวานบิ่นพบหญิงสาวที่ถูกใจ เมื่อแก่แล้ว
พออ้าปากก็เห็นลิ้นไก่รู้ทันกัน ไม่มีทางจะโกหก หลอกกันได้
พูดเป็นต่อยหอยพูดฉอด ๆ ไม่หยุดปาก เม้าท์เก่ง
พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทองพูดไปไม่มีประโยชน์ นิ่งเสียดีกว่า สงบสยบความเคลื่อนไหว
มะนาวไม่มีน้ำพูดห้วน ๆ
มะกอกสามตะกร้าปาไม่ถูกพูดจาตลบตะแลงพลิกแพลงไปมาจนจับคำพูดไม่ทัน
มากหมอมากความมากคนก็มากเรื่อง วุ่นวาย ต่างคนต่างก็ถือความคิดตัวเอง
มือถือสาก ปากถือศีลชอบแสดงตัวตนว่าเป็นคนมีศีล มีธรรม แต่ทำความเลวเป็นนิจ
มือห่าง ตีนห่างสุรุ่ยสุร่าย เลินเล่อ สะเพร่า ไม่ระมัดระวัง
ไม่ดูตาม้าตาเรือไม่พิจารณารอบคอบดูให้ดี
ไม่รู้จักหัวนอนปลายตีนไม่รู้ว่าบ้านช่องอยู่ไหน เป็นลูกหลานใคร ไม่รู้จักพื้นเพ
ไม่เห็นน้ำตัดกระบอก ไม่เห็นกระรอกก่งหน้าไม้ด่วนตัดสินใจทำอะไรเลยไป ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ถึงเวลาอันควร
ไม้ใกล้ฝั่งแก่มาก อายุขัยใกล้ตาย
ไม่หลักปักไม้เลนโลเล ไม่แน่นอน
ยกตนข่มท่านพูดทับถมผู้อื่นแสดงให้เห็นว่าตัวเหนือกว่า
ยกภูเขาออกจากอกโล่งอก หมดวิตกกังวล
ยื่นแก้วให้วานรเอาของมีค่าให้คนที่ไม่รู้จักค่าของสิ่งนั้น

หมวด ร.-ส.

สำนวน สุภาษิตไทยความหมาย
รักยาวให้บั่น รักสั้นให้ต่อรักจะคบกันนาน ๆ ให้ตัดความคิดอาฆาตพยาบาทออกไป รักจะอยู่สั้น ๆ ให้คิดอาฆาต
รีดเลือดกับปูบังคับเอากับผู้ยากจนที่ไม่มีจะให้
ละเลงขนมเบื้องด้วยปากดีแต่พูด เม้าท์ แต่ทำจริง ๆ ทำไม่ได้
ลางเนื้อชอบลางยาของบางสิ่งอาจถูก เข้ากันได้ดี เหมาะกับคนหนึ่ง แต่อาจไม่เหมาะกับอีกคน
ลูกขุนพลอยพยักพวกประจบสอพลอ ผู้ที่คอยว่าตามผู้ใหญ่ เจ้านาย
ลูกผีลูกคนจะเอาแน่นอนไม่ได้ มักใช้ในกรณีสำคัญๆ
ลูบหน้าปะจมูกจะทำอะไรเด็ดขาดจริงจังลงไปไม่ได้ เพราะเกรงจะไปกระทบพวกพ้องตัวเอง
เล่นเอาเถิดเจ้าล่ออาการหลบไปมาเพื่อไม่ให้พบ
เลือดข้นกว่าน้ำญาติพี่น้องย่อมดีกว่าคนอื่น
วัวใครเข้าคอกคนนั้นกรรมที่ใครสร้างไว้ ย่อส่งผลให้แก่ผู้นั้น
ว่ายน้ำหาจระเข้เสี่ยงเข้าพบทั้ง ๆ ที่รู้ว่าเป็นอันตราย
ศรศิลป์ไม่กินกันไม่ถูกกัน ไม่ลงรอยกัน ไม่ชอบหน้ากัน
สร้างวิมานในอากาศคิดคาดหวัง จะมีจะเป็นอะไรอย่างเลิศลอย
สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจความสุขที่เกิดจาการทำดี ทำชั่ว อยู่ที่ใจทั้งนั้น
สองฝักสองฝ่ายทำตัวเข้ากับ 2 ฝ่ายที่ไม่ถูกกัน โดยหวังประโยชน์เพื่อตน
สอนจระเข้ให้ว่ายน้ำสอนสิ่งที่เขารู้ดีหรือถนัดอยู่แล้ว
สาวไส้ให้กากินเอาความลับของตน หรือพวกตนไปเผยให้คนอื่นรู้เป็นการประจานตน
สิ้นไร้ไม้ตอกยากไร้ ขัดสนถึงที่สุด ไม่มีทรัพย์สมบัติติดตัว
สิบเบี้ยใกล้มือของหรือประโยชน์ที่ควรได้ก็เอาไว้ก่อน
สุกเอาเผากินทำลวก ๆ ทำพอเสร็จไปครั้ง ๆ หนึ่ง
เส้นผมบังภูเขาเรื่องง่าย ๆ แต่คิดไม่ออก เหมือนมีอะไรมาบังอยู่


สอนจระเข้ว่ายน้ำ

หมวด ห.-อ.

สำนวน สุภาษิตไทยความหมาย
หงิมๆ หยิบชิ้นปลามันบุคลิกลักษณะเรียบร้อย แต่ความจริงฉลาด เลือกเอาดี ๆ ไปได้
หญ้าปากคอกสะดวก ง่าย ไม่มีอะไรยุ่งยาก
หนังหน้าไฟผู้ที่คอยรับหน้า รับความเดือดร้อนก่อนผู้อื่น
หน้าเนื้อใจเสือหน้าตาแสดงความเมตตา แต่ใจโหดเหี้ยม
หนามยอกเอาหนามบ่งตอบโต้หรือแก้ด้วยวิธีการทำนองเดียวกัน
หน้าสิ่วหน้าขวานอยู่ในระยะอันตราย เพราะอีกฝ่ายหนึ่งกำลังโกรธ
หมาในรางหญ้าคนที่หวงแหนสิ่งที่ตนเองกินหรือใช้ไม่ได้ แต่ไม่ยอมให้คนอื่นกินหรือใช้
หมาสองรางคนที่ทำตัวเข้าทั้ง 2 ฝ่ายที่เป็นศัตรูกัน โดยหวังประโยชน์เพื่อตน
หยิกเล็บเจ็บเนื้อเมื่อทำความเดือดร้อนให้แก่คนใกล้ชิด ก็จะมีผลกระทบถึงตัวผู้ทำหรือพวกพ้อง
หอกข้างแคร่คนใกล้ชิดที่จะคอยทำร้ายเมื่อใดก็ได้
หักด้ามพร้าด้วยเข่าหักโหมเอาด้วยกำลัง ใช้อำนาจบังคับเขา
หัวแก้วหัวแหวนเป็นที่รักใคร่เอ็นดูมาก
หัวมังกุ ท้ายมังกรไม่เข้ากัน ไม่กลมกลืนกัน
หัวหลักหัวตอบุคคลที่น้อยใจ เพราะคนอื่นมองข้ามความสำคัญ ไม่ยอมมาปรึกษา
เหยียบเรือสองแคมทำทีเข้าด้วยทั้ง 2 ฝ่าย
หูผีจมูกมดไหวตัวทันเหตุการณ์ตลอด
หาเหาใส่หัวรนหาเรื่องเดือดร้อน รำคาญใส่ตน
เอามะพร้าวห้าวไปขายสวนแสดงความรู้หรืออวดรู้กับผู้ที่รู้เรื่องดีกว่า
เอาเนื้อหนูไปปะเนื้อช้างเอาทรัพย์หรือสิ่งของจากคนที่มีน้อยไปให้ผู้ที่มีมากกว่า
เอามือซุกหีบหาเรื่องเดือดร้อนหรือความลำบากใส่ตัวโดยใช่ที่
เอาไม้ซีกไปงัดไม้ซุงคัดค้านผู้มีอำนาจ ฐานะสูงกว่า หรือผู้ใหญ่กว่า มักจะล้มเหลว
เอาหูไปนา เอาตาไปไร่แสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ไม่สนใจ



หน่วยการเรียนรู้ที่1 เรื่อง โวหารภาพพจน์

โวหารภาพพจน์

           ภาพพจน์หรือโวหารภาพพจน์ (figure  of  speech)  เป็นกลวิธีทางภาษาที่มุ่งให้เกิดความรู้ความเข้าใจแจ่มแจ้งทั้งความหมายนัยตรงและนัยแฝงเร้น เน้นให้เกิดทั้งอรรถรสและสุนทรียรสในการสื่อสาร อันเป็นปรากฏการณ์อย่างหนึ่งทางวรรณศิลป์

.ความสำคัญของภาษาภาพพจน์


                   ภาษาภาพพจน์ช่วยเสริมให้สำนวนโวหารดีขึ้นเกิดภาพในใจชัดเจน  โดยเฉพาะสิ่งที่เป็นนามธรรม  จะเกิดรูปธรรมที่แจ่มชัด  เช่น  “ไวเหมือนปรอท  อืดเป็นเรือเกลือ  ฉันรักเธอเท่าฟ้า  ขาวราวสำลี  เห็นกงจักรเป็นดอกบัว  อดเปรี้ยวไว้กินหวาน  สวยเหมือนนางละคร  ฯลฯ

๒.จุดประสงค์ของการใช้ภาพพจน์

          ๒.๑ ภาพพจน์ให้ความสำเริงอารมณ์  หมายถึงภาพพจน์บันดาลให้ผู้อ่านผู้ฟังได้ใช้ความคิดและจินตนาการ  ซึ่งอาจเปรียบได้กับการที่เราได้ก้าวออกจากจุดหนึ่งไปสู่อีกจุดหนึ่ง  มีความเคลื่อนไหวตื่นตัว  ไม่เฉยชาซึมเซาในระหว่างติดตามอ่าน  ได้สังเกตพิจารณาเห็นสิ่งที่เหมือนกันและสิ่งที่ต่างกัน  ดังเช่นเราตั้งชื่อสิ่งต่างๆด้วยการเปรียบเทียบสิ่งที่เหมือนหรือสิ่งที่ต่าง  โดยใช้การสังเกต  ความคิด  และจินตนาการเทียบเคียง
                 ๒.๒  ภาพพจน์ทำสิ่งที่เป็นนามธรรมให้เป็นรูปธรรมขึ้น  การใช้ภาพพจน์เป็นการช่วยผู้อ่านนึกเห็นภาพที่ชัดเจนขึ้น  ซึ่งเท่ากับว่าทำให้วรรณคดีเข้าสู่ประสาทสัมผัสและการรับรู้โดยตรง  อาจจะโดยการได้ยิน  ได้เห็น  ได้สัมผัส  ฯลฯ  ได้ร่วมมีประสบการณ์  จึงทำให้เข้าถึงและเข้าใจวรรณคดีเรื่องนั้นๆได้ดียิ่งขึ้น
                 ๒.๓  ภาพพจน์ให้ความเข้มข้นทางอารมณ์มากขึ้น  ด้วยการให้ความแตกต่าง  ความขัดแย้ง  ความเหมือน  ความผสาน  และทัศนคติที่มีต่อสิ่งหนึ่งสิ่งใด
             ๒.๔ ภาพพจน์ช่วยให้กล่าวคำน้อยแต่ได้ความมาก  ทั้งนี้ด้วยลักษณะการบังคับทางฉันทลักษณ์  ที่กำหนดจำนวนคำ  สัมผัส  คำครุ-คำลหุ  ดังนั้นกวีจึงต้องสรรคำมาใช้ให้สามารถลงในตำแหน่งนั้นอย่างเหมาะสม  ขณะเดียวกันก็ต้องได้เนื้อความหรือความหมายตามที่ต้องการด้วย  เพื่อให้สามารถสื่อความและสื่ออารมณ์ได้

๓.ชนิดของภาพพจน์

          ๓.๑ อุปมา( Simile)  คือ การเปรียบเทียบสิ่งที่เหมือนหรือคล้ายกับอีกสิ่งหนึ่งโดยมีคำเชื่อมดังนี้  คือ เหมือน  เสมือน  เหมือนดั่ง  ดุจ  ประดุจ  ประหนึ่ง  ละม้าย  เสมอ  ปาน  เพียง  ราว  ราวกับ  เทียบ  เทียม  คือ  ฯลฯ

ตัวอย่าง

แล้วว่าอนิจจาความรัก                 พึ่งประจักษ์ดั่งสายน้ำไหล
ตั้งแต่จะเชี่ยวเป็นเกลียวไป                      ไหนเลยจะไหลคืนมา
                                                                (อิเหนา พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย)


                        สูงระหงทรงเพรียวเรียวรูด             งามละม้ายคล้ายอูฐกะหลาป๋า
            พิศแต่หัวตลอดเท้าขาวแต่ตา                     ทั้งสองแก้มกัลยาดังลูกยอ
            คิ้วก่งดังกงเขาดีดฝ้าย                             จมูกละม้ายคล้ายพร้าขอ
            หูกลวงดวงพักตร์หักงอ                             ลำคอโตตันสั้นกลม
                                                                        (ระเด่นลันได :พระมหามนตรี (ทรัพย์))

.๒ อุปลักษณ์  (Metaphor) คือ การเปรียบเทียบของสิ่งหนึ่งว่ามีคุณสมบัติร่วมหรือเช่นเดียวกับอีกสิ่งหนึ่ง  การใช้โวหารภาพพจน์ชนิดนี้อาจใช้คำเปรียบ  เป็น  คือ  เท่า  เท่ากับ  หรือไม่มีคำเปรียบก็ได้

ตัวอย่าง



อันอ้อยตาลหวานลิ้นแล้วสิ้นซาก            แต่ลมปากหวานหูไม่รู้หาย
ถึงเจ็บอื่นหมื่นแสนจะแคลนคลาย                      เจ็บเจียรตายเพราะเหน็บให้เจ็บใจ
                                                (เพลงยาวถวายโอวาท : สุนทรภู่)

จะว่าขมอะไรในพิภพ                               ไม่อาจลบบอระเพ็ดที่เข็ดขม
                        ถึงดาบคมก็ไม่สู้คารมคม                                      จะว่าลมปากนั้นมากแรง
                                                                                    (นิราศเดือน นายมี)

                                    เนื้ออ่อนอ่อนแต่ชื่อ                                  เนื้อน้องฤๅอ่อนทั้งกาย
                        ใครต้องข้องจิตต์ชาย                                         ไม่วายนึกตรึกตรึงทรวง
                        ปลาเสือเหลือที่ตา                                                เลื่อมแหลมกว่าปลาทั้งปวง
                        เหมือนตาสุดาดวง                                               ดูแหลมล้ำขำเพราะคม
                                                                                    (กาพย์เห่เรือ เจ้าฟ้าธรรมธิเบศร์)

๓.๓  ปฏิพากย์ หรือ ปรพากย์ (Paradox) คือ การใช้ถ้อยคำที่มีความหมายตรงกันข้ามหรือขัดแย้งกันมากล่าว อย่างกลมกลืนกันเพื่อเพิ่มความหมายให้มีน้ำหนักมากยิ่งขึ้น
                       
ตัวอย่าง
                                    เปล่าเปลี่ยวเหี่ยวอกโอ้                               โอ๋อก
                        หนาวจิตคืออุทก                                                    สะทกสะท้อน
คิดโฉมประโลมกก                                                กอดอุ่น
กายแม่เย็นยามร้อน                                              อุ่นเนื้อยามหนาว
                                                            (นิทานเวตาล น.ม.ส.)

เธอตายเพื่อจะปลุกให้คนตื่น                   เธอตายเพื่อผู้อื่นนับหมื่นแสน 
เธอเป็นดินก้อนเดียวในดินแดน                          แต่จะหนักและจะแน่นเต็มแผ่นดิน 
                                                (กระทุ่มแบน เนาวรัตน์  พงษ์ไพบูลย์)

.๔  อติพจน์  หรือ  อธิพจน์  (Hyperbole) คือ ภาษาภาพพจน์ที่กล่าวเกินจริงอาจมากหรือน้อยเกินจริงก็ได้

            ตัวอย่าง
                                  
                                    เรียมร่ำน้ำเนตรถ้วม                                 ถึงพรหม
                        พาเทพเจ้าตกจม                                                 จ่อมม้วย
                        พระสุเมรุเปื่อยเป็นตม                                          ทบท่าว  ลงนา
                        หากอักนิฏฐ์พรหมฉ้วย                                         พี่ไว้จึงคง
                                                                                    (โคลงเบ็ดเตล็ด ศรีปราชญ์ )

ตราบขุนคิริขัน                                        ขาดสลาย  ลงแม่
รักบ่หายตราบหาย                                               หกฟ้า
สุริยจันทรขจาย                                                   จากโลก  ไปฤา
ไฟแล่นล้างสี่หล้า                                                  ห่อนล้างอาลั
                                             (นิราศนรินทร์ : นรินทรธิเบศร์)

เวหาผผ่าวเพี้ยง                                      พันแสง ส่องเอย
                        เรียมรัญจวนใจจอม                                             จิ่มหล้า
                        อาดูรคระแลงแสดง                                              แสนโศก
                        แสนสุเมรุไหม้ฟ้า                                                  ไป่ปาน
                                                                                    (ทวาทศมาสโคลงดั้น)

.๕  บุคลาธิษฐาน (Personification) คือ การที่กล่าวถึงสิ่งไม่มีชีวิต  ไม่มีวิญญาณ  ไม่มีความคิด  ให้เป็นเสมือนมีชีวิต  มีจิตวิญาณ  มีความคิด  มีความรู้สึกต่างๆ  แล้วสื่อความรู้สึกออกมาให้ผู้รับสารได้รู้

                        ตัวอย่าง


                             ทั้งคลื่นซ้ำน้ำซัดให้ปัดปั่น                         โอ้แต่ชั้นคลื่นลมยังข่มเหง
                        น่าอายเพื่อนเหมือนคำเขาทำเพลง                   มาเท้งเต้งเรือลอยน่าน้อยใจ
                                                                                    (นิราศเมืองเพชร สุนทรภู่)

                                    ลำดวนจะด่วนไปก่อนแล้ว                        ทั้งเกดแก้วพิกุลยี่สุ่นสี
                        จะโรยร้างห่างสิ้นกลิ่นมาลี                                   จำปีเอ๋ยกี่ปีจะมาพบ
                        ที่มีกลิ่นก็จะคลายหายหอม                                  จะพลอยตอมเหือดสิ้นกลิ่นตลบ
                        ที่มีดอกก็จะวายระคายครบ                                  จะเหี่ยวแห้งเซาซบสลบไป
                                                                                    (ขุนช้างขุนแผน)

๓.๖  สัญลักษณ์ (Symbol)  คือ  การเรียกชื่อสิ่งๆหนึ่งโดยใช้คำอื่นมาแทน  ไม่เรียกตรงๆ ส่วนใหญ่คำที่นำมาแทนจะเป็นคำที่เกิดจากการเปรียบเทียบและตีความซึ่งใช้กันมานานจนเป็นที่เข้าใจและรู้จักกันโดยทั่วไป     



                            ตัวอย่าง

                  สิงโต               แทน               กำลังและความกล้าหาญ

                  แก้ว                 แทน               ความดีงาม  ของมีค่า

                  แพะ                 แทน               ตัณหาราคะ
                  ดอกไม้            แทน               ผู้หญิง
                  ลา                   แทน               คนโง่
                  เมฆหมอก         แทน              อุปสรรค
                  ดอกมะลิ           แทน              ความบริสุทธิ์
                  แสงสว่าง          แทน              สติปัญญา
                  สุนัขจิ้งจอก       แทน              คนเจ้าเล่ห์
                  นกพิราบ           แทน              สันติภาพ
                  รุ้ง                    แทน              พลัง  ความหวัง  กำลังใจ       

๓.๗  นามนัย  (Metonymy)  คือ  การใช้คำอื่นเรียกชื่อสิ่งหนึ่งแทนการเรียกตรงๆ  คล้ายๆสัญลักษณ์แต่ต่างกันตรงที่  นามนัยจะดึงเอาลักษณะบางส่วนของสิ่งหนึ่งมากล่าวให้หมายถึงส่วนทั้งหมด  หรือใช้ชื่อส่วนประกอบสำคัญของสิ่งนั้นแทนสิ่งนั้นทั้งหมด

                          ตัวอย่าง
                        
                   เก้าอี้                      แทน                 ตำแหน่ง
                   หัวโขน                   แทน                 บทบาท  ตำแหน่งหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย
                   รากหญ้า                แทน                  ประชาชนระดับล่าง
                   ดงขมิ้น                  แทน                  พระ   เณร
                   หมู                        แทน                  ง่าย
                   เมืองโอ่ง                แทน                  จังหวัดราชบุรี
                   เมืองย่าโม              แทน                  จังหวัดนครราชสีมา
๓.๘สัทพจน์ (Onematoboeia) คือ  การเลียนเสียงธรรมชาติ  หรือ  แสดงอาการต่างๆ  ตามธรรมชาติการใช้ภาพพจน์ประเภทนี้จะทำให้เหมือนได้ยินเสียงนั้นจริงๆ

                         ตัวอย่าง



                             เสียงกรอดเกรียดเขียดกบเข้าขบเคี้ยว        
เหมือนกรับเกรี้ยวกรอดกรีดวะหวีดเสียง
หริ่งหริ่งแหร่แม่หม่ายลองไนเรียง
แซ่สำเนียงหนาวในใจรำจวน
                                                            (นิราชเมืองเพชร สุนทรภู่)

            ฝนตกห่าใหญ่ใส่ซู่ซู่
ท่วมคูท่วมหนองออกนองเจิ่ง
คางคกขึ้นกระโดดโลดลองเชิง
อึ่งอ่างเริงร่าร้องแล้วพองคอ
                                                (ระเด่นลันได :พระมหามนตรี (ทรัพย์))


    พวกเหล่าสังคีตนี่ก็มาดีดสีตีระงม  ทั้งโทนทับรับจังหวะโจ๋งจะจิ๊งจั๋งโจ๋ง ๆ ทั่ง ๆ บัณเฑาะดีดสายพิณดังฟังวิเวกแว่ว  รัวระนาดแก้วแจ้วใจจริง  ทุระหร่างทุระหริงฉิ่งฉั่งฉ่างฉับ  ฆ้องวงก็รับถิ่งนังโหน่งเหน่ง   กระจับปี่ก็รี่เร่งเร็ว ๆ ๆ  เร่งระนาดก็กราเกร่งบรรเลงลอยว่านอระน้อด ๆ นอง   ฆ้องใหญ่ใส่เต่งเต้งทิงนังเหน่ง ๆ หนอด   ฆ้องเล็กก็ลอดหน่อระหนอด ๆ หน่อง   รัวระนาดทองทุระหริ่ง ๆ  หริง ๆ   ระนาดทุ้มทุม ๆ ทิงทุมทิงเท่ง   ระนาดไม้เร่งรอปร๋อ ๆ ปรูด ๆ หนอง ๆ หนูดปรูดปร๋อปร๋อย”      
                                                                        (ร่ายยาวมหาเวสสันดรชาดก กัณฑ์มหาราช)